บทความเขียนโดย
ทำไม HFT จึงมีความสำคัญกับนักลงทุนในยุคปัจจุบัน? สิ่งแรก คือ High Frequency Trading เป็นรูปแบบของการส่งคำสั่งซื้อขายแบบอิเล็คทรอนิกส์ที่ใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วยเพิ่มความโปร่งใส และเพิ่มสภาพคล่องในการเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ประโยชน์ของการมี HFT คือ การเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ผมต้องบอกให้นักลงทุนทราบก่อนว่าในสมัยก่อนตลาดหุ้นอเมริกาไม่ค่อยมีการซื้อขายมากนัก แต่พอเริ่มมีระบบคอมพิวเตอร์เข้ามารวมถึง HFT ทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตลาดหุ้นไทยทุกวันนี้สภาพคล่องการซื้อขายหุ้นมักจะกระจุกตัวอยู่ใน SET50 หรือ SET100 ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่หนึ่งร้อยบริษัทแรกเท่านั้น แต่หากมีการนำ HFT เข้ามาในประเทศ นักลงทุนของจินตนาการดูว่าสภาพคล่องจะพุ่งสูงขึ้นทันที เพราะ ชุดคำสั่งซื้อขายจะถูกส่งเข้าไปในตลาดได้รวดเร็ว และปริมาณการซื้อขายจากระบบคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทสูงขึ้น หาก HFT และ คอมพิวเตอร์อัลกอริทึ่ม ได้เข้าไปซื้อหรือขายหุ้นนอกเหนือจาก SET50 & SET100 หุ้นตัวอื่นก็จะมีการซื้อขายที่มากขึ้น ทำให้นักลงทุนซื้อง่ายขายคล่องมากขึ้น
ความสำคัญถัดไปคือ HFT สร้างตลาดงานที่ให้รายได้สูงลิ่ว เพราะ การที่สร้างระบบเทรดแบบ HFT จะต้องมีการจ้างนักเทรดมืออาชีพ, โปรแกรมเมอร์, นักกลยุทธ์, และนักวิเคราะห์ เพื่อมาวิจัยและพัฒนาระบบ HFT ให้การเทรดมีกำไร ในปี 2009 ตลาดหุ้น WallStreet มีการโพสต์การจ้างงานหลายเว็บไซต์
“รับสมัครผู้ที่มี quantitative background คือ นักคณิตศาสตร์และสถิติ ที่สามารถออกแบบและพัฒนาคอมพิวเตอร์อัลกอริทึ่มได้ ที่ต้องมีเลยคือประสบการณ์ในการนำเอาอัลกอไปใช้งานในการเทรดจริงในตลาดจริงจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ”
ผู้ที่เรียนจบ ดร. ทั้งสาขาคณิตศาสตร์, สถิติ, ฟิสิกส์ และสาขาที่เกี่ยวข้อง ต่างก็ตบเท้าเข้ามาสมัครเข้าทำงานในกองทุนหรือเฮดจ์ฟันด์กันเป็นจำนวนมากเนื่องจากรายได้ขั้นต่ำเริ่มต้นที่ $350k – $750k ต่อปี หรือเป็นเงินไทย สิบกว่าล้านบาทต่อปี นอกจากผู้ที่เรียนจบโดยตรงแล้ว นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็สนใจที่จะสมัครเข้าทำงานใน HFT นอกจากกำไรจะมากแล้ว การจ้างงานยังดีมากอีกด้วย
โมเดลการทำกำไรของ HFT: High Frequency Trading firm มีหลากหลายรูปแบบดังต่อไปนี้
- Fleeting Moves บริษัทที่มีสินค้าทางการเงินหลายตัวเช่น หุ้น ทองคำ ออพชัน ค่าเงิน ฟิวเจอส์ บริษัทมักจะเลือกเข้ามาเทรดและทำกำไรจากราคาหุ้นที่จะปรับขึ้น โดย HFT จะเทรดสินค้าเหล่านั้นเมื่อมี “Signal” หรือ สัญญาณ ยกตัวอย่างเช่น การปรับตัวขึ้นของราคา option อาจจะเป็นสัญญาณการขึ้นของหุ้นหลักได้ในระยะสั้น
- Defects in the network or computer infrastructure บางบริษัทก็มองหาและทำกำไรจากช่องโหว่ของระบบเทรด ที่อาจจะเอื้อประโยชน์ให้ HFT สามารถเทรดและทำกำไรได้
- Market Making เป็นอีกโมเดลที่นิยมในต่างประเทศ คนที่เป็นมาร์เก็ตเมคเกอร์ จะซื้อและขายหุ้นบ่อยมาก เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหรือ spread ถึงแม้จะไม่มาก แต่หากรวมการเทรดมากๆ ครั้งเข้าก็จะเป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว
- Market inefficiencies โมเดลนี้น่าสนใจตรงที่ HFT จะหาจังหวะในการเข้าเทรดหุ้น หรือสินค้าทางการเงิน เมื่อตลาดไร้ประสิทธิภาพ หรือไม่มีเหตุผลเพียงพอ ทำให้ราคาหุ้นห่างไกลออกไปจากมูลค่าที่แท้จริงมากจนเกินไป
- Detecting and taking advantage of bid-ask spread เหมาะสำหรับหุ้นที่สภาพคล่องไม่สูงนักและ HFT บางบริษัทจะมองหาช่องว่างของ bid-ask และไปวาง bid-ask เอาไว้ให้นักลงทุนซื้อและ HFT ก็จะขายออกไปในราคาที่สูงขึ้นเล็กน้อย ยิ่งช่องห่างระหว่าง bid-ask มากเท่าไหร่ HFT ก็จะกำไรมากเท่านั้น
บริษัทที่ทำธุรกิจ HFT อยู่ที่ไหน?
ในอเมริกาให้ไปมองหาที่ตลาดหุ้น NYSE: New York Stock Exchange อยู่ที่เมืองนิวยอร์ค เพราะ HFT พวกนี้จะต้องวางระบบบน COLO ของตลาดหลักทรัพย์ ตลาดอื่นในอเมริกาก็มีอีกเช่น Chicago Mercantile Exchange (CME), Chicago Board of Trade (CBOT).
ถ้าเป็น HFT ไทยหละ? อันนี้ขออุบไว้ก่อนครับ
ไว้ตอนหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังอย่างละเอียดถึงโมเดลการทำเงินของ HFT ครับ
อย่าลืมเข้ามาติดตามนะครับ