บริษัท อะโกร อินดัสเตรียล แมชชีนเนอรี่ จำกัด (มหาชน) เดิมชื่อ บริษัท ไทยเอนจิน เมนูแฟ็คเจอริ่ง จำกัด จัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2534 แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2538 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 โดยหุ้นสามัญของบริษัทเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2539 และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท อะโกร อินดัสเตรียล แมชชีนเนอรี่ จำกัด (มหาชน)? เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549
บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ชิ้นส่วนหลักที่ใช้ประกอบเครื่องยนต์รวมทั้งอะไหล่ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมการเกษตรและการจำหน่ายรถแทรกเตอร์ สำนักงานใหญ่และโรงงานตั้งอยู่เลขที่ 480 หมู่ 1 ถนนบ้านค่าย ? บ้านบึง ตำบลละหาร อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง
ในอดีตบริษัทฯ ดำเนินการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กภายใต้ยี่ห้อ ?มิตซูบิชิ? โดยทำสัญญาเป็นตัวแทนผลิตและจำหน่ายกับ MITSUBISHI HEAVY INDUSTRIES LTD. (?MHI?) ซึ่งสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2539 ส่งผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้ยี่ห้อดังกล่าวได้อีก จึงได้ดำเนินการผลิตและจำหน่ายเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กภายใต้เครื่องหมายการค้า ?AMAC สิงห์คะนองนา? แทน นอกจากนี้ ในปี 2549 บริษัทได้เข้าทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถแทรคเตอร์ยี่ห้อ ISEKI กับ ISEKI & CO., LTD. และเริ่มมีรายได้จากการจำหน่ายรถแทรคเตอร์ นับแต่ไตรมาส 4/2549 โดยสัญญาฉบับล่าสุดจะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2553
ผลของวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 บริษัทฯ ได้เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2543 และดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการฉบับแก้ไขลงวันที่ 4 สิงหาคม 2548 โดยเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 ผู้บริหารแผนได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ศาลสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการจากการที่สามารถปฏิบัติตามแผนได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2550 โดยในระหว่างการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทได้รับการปลดหนี้และภาระผูกพันในทรัพย์สินทั้งหมด และมีการลดและเพิ่มทุนจดทะเบียน หลายครั้ง โดย ณ วันพ้นออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 206,315,801 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ภายหลังจากบริษัทได้พ้นออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการแล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อนุญาตให้หลักทรัพย์ของบริษัทกลับเข้าทำการซื้อขายในกระดานหลัก ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2551 เป็นต้นมา
ทั้งนี้ ในปี 2552 บริษัทมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นหลายครั้ง นอกจากการเปลี่ยนแปลงเข้า-ออกของกรรมการบริษัทหลายท่านในหลายวาระและการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทแล้ว บริษัทยังได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้ขยายการดำเนินธุรกิจของบริษัทสู่ธุรกิจค้าเหล็ก รวมถึงออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายให้กับบุคคลแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้บริษัทได้รับเงินทุนจำนวน 75.6 ล้านบาทจากการระดมทุนครั้งนี้ ด้วยการจำหน่ายหุ้นจำนวน 252 ล้านหุ้น ที่ราคา 0.30 บาทต่อหุ้น และมีหุ้นคงเหลือจากการเสนอขายจำนวน 84 ล้านหุ้น โดยทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทได้เปลี่ยนแปลงเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 542,315,801 หุ้น และ 458,315,801 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ตามลำดับ ซึ่งบริษัทได้นำเงินทุนที่ได้รับหมุนเวียนใช้ในการดำเนินธุรกิจเหล็กของบริษัท โดยเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2552 เป็นต้นมา
ในการส่วนธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรของบริษัท ซึ่งประสบปัญหาและได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายด้านการตลาดของคู่แข่งรายสำคัญ ส่งผลให้ยอดขายและกำไรในปี 2552 ลดจำนวนลง โดยบริษัทได้พิจารณาหยุดสายงานประกอบเป็นการชั่วคราวนับแต่เดือนกันยายน 2552 และหยุดสายการผลิตทั้งระบบเป็นการชั่วคราว รวมถึงเลิกจ้างพนักงานทั้งหมด นับแต่เดือนธันวาคม 2552 ภายหลังได้ประเมินสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้องแล้ว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ได้มีมติหยุดดำเนินธุรกิจในส่วนเครื่องจักรกลการเกษตร และยกเลิกการดำเนินธุรกิจของบริษัท เอแมค พลัส จำกัด บริษัทย่อย ซึ่งเดิมจะจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับธุรกรรมการค้าเครื่องจักรกลการเกษตร
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2553 เพื่ออนุมัติเปลี่ยนชื่อและตราประทับของบริษัท เป็น บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชื่อภาษาอังกฤษว่า MAX METAL CORPORATION PUBLIC COMPANY LIMITED และชื่อย่อที่ใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทจาก AMAC เป็น MAX รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัทเพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจเหล็กของบริษัท และแก้ไขสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนต่างด้าวจาก ไม่เกิน 30% เป็นไม่เกิน 49% อีกด้วย
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ MAX ได้ที่นี่ครับ