บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้จดทะเบียนก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดในปี 2530 โดยมี ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด, บริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ภัทรธนกิจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท สมบัติล่ำซำ จำกัด เป็นแกนนำในการจัดตั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการดำเนินการจัดหาทรัพย์สินให้เช่าแบบลีสซิ่ง โดยเน้นการให้เช่าดำเนินงาน (Operating Lease) และเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนิติบุคคลเป็นหลัก
ในปี 2531 บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจให้เช่าทรัพย์สินซึ่งส่วนใหญ่เป็นยานพาหนะให้กับลูกค้านิติบุคคล พร้อมทั้งได้มีการพัฒนาการให้บริการในด้านต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในการบริการให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์
ในปี 2539 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300,000,000 บาท และนำบริษัทเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบริษัท
ในปี 2548 บริษัทได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัท จากมูลค่าเดิมหุ้นละ 10 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 1 บาท พร้อมทั้งเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 300,000,000 บาท เป็น 450,000,000 บาท และได้เรียกชำระค่าหุ้น ซึ่งเป็นผลให้บริษัทมีทุนเรียกชำระแล้วเป็นจำนวน 447,369,569 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 447,369,569 หุ้น ซึ่งการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในการปรับโครงสร้างเงินทุน และเป็นส่วนสำคัญสำหรับรองรับการเจริญเติบโตของบริษัทในอนาคต และในปี 2548 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS) ยังได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร (Company Rating) ของบริษัท และหุ้นกู้ไม่มีประกัน (Issue Rating) เป็นระดับ A – จากเดิม BBB +
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ในปี 2548 นิตยสาร Forbes นิตยสารชั้นนำทางธุรกิจ ได้คัดเลือกบริษัทที่เป็นบริษัทมหาชน และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากทั้งหมด 15 ประเทศ 25,864 บริษัท โดยได้คัดเลือกเฉพาะบริษัทขนาดกลาง ที่มียอดรายได้ไม่เกิน 1,000 ล้านเหรียญและไม่ต่ำกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ จำนวน 11,845 บริษัท ทั้งนี้บริษัท ภัทรลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน 11 บริษัทจากประเทศไทย และเป็นบริษัทลิสซิ่งเดียว ที่ได้รับรางวัล Asia?s Best Under a Billion รางวัลนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินงานต่างๆ ตลอดจนการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ในปี 2549 บริษัทได้ลงทุนในบริษัท พลัส เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการรถทดแทน โดยบริษัทเป็นผู้ถือหุ้น เป็นจำนวนเงิน 9,999,930 บาท (99.99%) ณ 30 กันยายน 2550 บริษัทพลัส เซ็นเตอร์ จำกัด ยังไม่ได้เริ่มดำเนินธุรกิจหลัก
ในปี 2550 บริษัท ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่? โดยในส่วนของธนาคารกสิกรไทยได้เสนอขายออกให้กับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลักรายเดิมของบริษัท สืบเนื่องจากนโยบายของทางธนาคารกสิกรไทยที่จะปรับลดการลงทุนในบริษัทที่ไม่สามารถควบคุมการดำเนินงานได้ทั้งหมด ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
โครงสร้างผู้ถือหุ้นดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด แต่กลับมีผลดีในการเสริมสร้างพันธมิตรสำหรับการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต
ในปี 2551 บริษัทได้เริ่มให้บริการใน 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ PHATRA AIRCRAFT LEASING ซึ่งเป็นรูปแบบการให้บริการเช่าเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก 4-12 ที่นั่ง ประเภท Business Jet, Turbo Prop และ Piston และ PHATRA YACHT LEASING โดยเป็นการให้บริการเช่าเรือแบบ Motor Yacht โดยทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์มุ่งเน้นเพื่อตอบสนองการเดินทางเพื่อ การท่องเที่ยว ธุรกิจ และพาหนะส่วนตัว ซึ่งบริษัทไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนาบริการให้ทันต่อสถานการณ์และความต้องการของลูกค้า
ในปี 2552 ?บริษัทได้พัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น โดยขยายเครือข่ายศูนย์บริการตามมาตรฐานผู้ผลิตไว้คอยบริการลูกค้าทั่วประเทศ มากกว่า 600 แห่ง ซึ่งลูกค้าสามารถนำรถเข้า เช็คระยะทาง หรือซ่อมบำรุงฉุกเฉิน โดยมั่นใจได้ว่า อะไหล่ที่ได้รับนั้นเป็นมาตรฐานเดียวกับผู้ผลิต ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความอุ่นใจให้ลูกค้าของบริษัทว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตลอดเวลาเพียงแค่โทรศัพท์แจ้งมาที่ 0-2693-2288
ในปี 2552 (ต.ค. – ธ.ค.) บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัท คือ จากเดิมเริ่มต้นเดือนตุลาคม และสิ้นสุดที่เดือนกันยายน เป็นเริ่มต้นที่เดือนมกราคม และสิ้นสุดที่เดือนธันวาคม ซึ่งส่งผลให้ผลประกอบการในปี 2552 มีจำนวน 2 งวด คือ ต.ค. 51-ก.ย.52 (12 เดือน) และ ต.ค.52- ธ.ค. 52 (3 เดือน)